เมนู

10. ธรรมสูตร


ว่าด้วยวิชชา 3 ประการ


[279] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ได้วิชชา 3 ว่า
เป็นพราหมณ์โดยธรรม เราย่อมไม่บัญญัติบุคคลอื่นว่าเป็นพราหมณ์ โดยเหตุ
เพียงการกล่าวตามคำที่เขากล่าวไว้แล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เราย่อมบัญญัติ
บุคคลผู้ได้วิชชา 3 ว่าเป็นพราหมณ์โดยธรรม เราย่อมไม่บัญญัติบุคคลอื่นว่า
เป็นพราหมณ์โดยเหตุเพียงการกล่าวตามคำที่เขากล่าวไว้แล้ว อย่างไร.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้
เป็นอันมาก คือ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง
ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบ
ชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏะและวิวัฏฏกัป
เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง
ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหาร
อย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติ
จากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ได้เสวยสุขเสวยทุกข์
อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้
เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วย-
ประการฉะนี้ ภิกษุนั้นได้บรรลุวิชชาที่ 1 นี้แล้วกำจัดอวิชชาได้แล้ว วิชชา
เกิดขึ้นแล้ว กำจัดความมืดได้แล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว สมเป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว
ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอัน
บริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์
เหล่านี้ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า
เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึง
อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต
มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจ
สัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์
กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี
ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ เธอได้บรรลุวิชชาที่ 2 นี้ กำจัดอวิชชา
ได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว กำจัดความมืดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว สมเป็น
ผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุการทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่ เธอได้บรรลุวิชชาที่ 3 นี้ กำจัดอวิชชาได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว
กำจัดความมืดได้แล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว สมเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ได้วิชชา 3 ว่าเป็น
พราหมณ์โดยธรรม ย่อมไม่บัญญัติบุคคลอื่นว่าเป็นพราหมณ์ โดยเหตุเพียง
กล่าวตามคำที่เขากล่าวไว้แล้ว อย่างนี้แล.

เรากล่าวผู้ระลึกถึงชาติก่อนได้ เห็น
ทั้งสวรรค์และอบาย และถึงความสิ้นไป
แห่งชาติ เป็นมุนี ผู้อยู่จบพรหมจรรย์
เพราะรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นผู้มีไตรวิชา
ด้วยวิชชา3 ว่าเป็นพราหมณ์ เราไม่กล่าว
บุคคลอื่นผู้มีการกล่าวตามที่เขากล่าวไว้
แล้วว่าเป็นพราหมณ์.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบธรรมสูตรที่ 10
จบวรรคที่ 5
จบติกนิบาต

อรรถกถาธรรมสูตร


ในธรรมสูตรที่ 10 พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ ญายธรรม คือ โดยเหตุ โดยการณ์ กล่าวคือ
สัมมาปฏิบัติ อธิบายว่า ภิกษุย่อมเป็นผู้มีวิชชา 3 ด้วยปฏิปทาใด ปฏิปทานั้น
พึงทราบว่า ธรรมในอธิการนี้. ก็ปฏิปทานั้น คืออะไร ? คือ จรณสัมปทา 1
วิชชาสัมปทา 1.
บทว่า เตวิชฺชํ ความว่า ประกอบแล้วด้วยวิชชา 3 มี